รีวิวสถานที่ Taylor ที่แอนตาร์คติกา

Taylor

ความอยากรู้อยากเห็นเป็นคุณสมบัติขั้นพื้นฐานอย่างหนึ่งของมนุษย์เรา ด้วยนิสัยเรื่องนี้ทำให้เกิดการสำรวจ ทดลอง เพื่อพัฒนาองค์ความรู้และจัดการความไม่รู้ให้หมดไป หนึ่งในวิธีการก็คือการออกไปท่องเที่ยว สำรวจสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ทวีปแอนตาร์คติกาแม้จะมีแต่ก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่คนก็ยังอยากจะไปเพื่อสนองความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองอยู่ดี ทวีปแอนตาร์คติกามีสถานที่หนึ่งเป็นจุดท่องเที่ยวประจำทวีปเลย มันคือก้อนน้ำแข็งสีเลือด

Taylor น้ำแข็งสีเลือด

โดยปกติ ทวีปแอนตาร์คติกาจะเต็มไปด้วยก้อนน้ำแข็งมากมายขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ ถึงใหญ่มาก มองไปทางไหนก็เป็นสีขาวโพลนไปหมด ตัดกับธารน้ำแข็งอันเย็นเฉียบที่ไหลรวมกันเป็นแหล่งน้ำขนาดใหญ่ หนึ่งในธารน้ำแข็งชื่อดังสุดก็คือ ธารน้ำแข็ง Taylor ธารน้ำแข็งแห่งนี้มีความพิเศษมากกว่าที่อื่นก็คือ มันไม่ใช่สีขาว แต่เป็นสีน้ำตาลจนเหมือนกับสีของเลือด ยิ่งตัดกับก้อนน้ำแข็งสีขาวด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ธารน้ำแข็งสีเลือดนี้ดูโดดเด่นมากยิ่งขึ้นจนเหมือนกับ เลือดไหลออกมาจากภูเขาน้ำแข็งแถวนั้นเลย

ทำไมถึงเป็นสีนี้

ธารน้ำแข็งสีเลือดนี้ เป็นหนึ่งในหัวข้อการค้นหาความจริงเพื่อให้เข้าใจถึงสาเหตุของการเกิด หลังจากศึกษากันมาได้ระยะหนึ่ง ได้ข้อพิสูจน์ว่า ธารน้ำแข็งสีเลือดนี้ เกิดจากทะเลสาบใต้ดินบริเวณนั้นมีธาตุเหล็กเป็นจำนวนมาก ตอนแรกทะเลสาบดังกล่าวแข็งตัวเป็นน้ำแข็งจากนั้นพออากาศร้อนขึ้นทำให้มันละลาย จนกลายเป็นน้ำทะลักออกมา

อีกสาเหตุหนึ่งของสีเลือดนี้ เกิดจากแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ใต้ชั้นน้ำแข็งเหล่านี้ ถูกกักไว้ใต้น้ำแข็งไม่สามารถออกมาได้เป็นเวลานาน จึงทำให้มันต้องอาศัยอยู่กับสิ่งมีชีวิตในนั้น เมื่อแบคทีเรียเข้าไปอาศัยอยู่ ก็ไปทำลายวงจรชีวิตของสิ่งมีชีวิตเหล่านั้น เหตุการณ์นี้ถูกทำซ้ำไปซ้ำมาเป็นเวลานานจนสุดท้ายวงจรชีวิตของสัตว์เหล่านั้นก็ถูกทำลายลง จนแสดงผลลัพธ์ออกมาเป็นธารน้ำแข็งสีเลือดดังกล่าว

จากน้ำแข็งสู่ดวงดาว

การวิจัยธารน้ำแข็งสีเลือดแห่งนี้ไม่ได้เป็นการวิจัยด้วยเรื่องสภาพแวดล้อม แร่ธาตุอย่างเดียวเท่านั้น สภาพแวดล้อมอันโหดร้ายแห่งนี้ยังถูกจำลองเป็นสถานที่ในการตั้งสมมุติฐานของพื้นที่นอกโลกอีกด้วย แบคทีเรียที่มีชีวิตอยู่ได้ใต้ธารน้ำแข็งอันหนาวเหน็บและหนามากจนแสงแดดส่องไม่ถึงนั้น นักวิทยาศาสตร์ยังจำลองว่ามันอาจจะเป็นรูปแบบของดวงจันทร์น้ำแข็งของดาวพฤหัสด้วย นักวิทยาศาสตร์ประเมินว่าบนนั้น น่าจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่รูปแบบเดียวกันนี้ ซึ่งต้องรออีกสักระยะให้น้ำแข็งละลายให้มากขึ้นถึงจะขึ้นไปสำรวจได้